โรคความดันโลหิตสูง |
ทุกๆคนต้องมีความดันโลหิต เพราะความดันโลหิตจะเป็นแรงผลักดันให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ดังนั้นทุกคนควรจะเรียนรู้เกี่ยวกับความดันโลหิต และรักษาให้ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ
เพราะความดันโลหิตสูงจะทำให้เกิดหลอดแข็งและตีบ เมื่อหัวใจบีบตัวหัวใจจะบีบเลือดไปยังหลอดเลือดแดงทำให้เกิดความดัน โลหิตซึ่งเกิดจากการบีบตัวของหัวใจ และแรงต้านทานของหลอดเลือดหัวใจคนเราเต้น 60-80 ครั้ง ความดันก็จะเพิ่มขณะที่หัวใจบีบตัว
และลดลงขณะที่หัวใจ คลายตัว ความดันโลหิตของคนเราไม่เท่ากันตลอดเวลา ขึ้นกับท่า ความเครียด
การออกกำลังกาย การนอนหลับ แต่ไม่ควรเกิน 140/90 หากสูงกว่านี้ แสดงว่าคุณเป็นโรคความดันโลหิตสูง
|
|
โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคอัมพาต โรคหัวใจเป็นโรคที่มีอัตราตายสูง ดังนั้นการป้องกัน
ความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันอัตราการตายจากโรคหัวใจ และโรคอัมพาต โรคความดันโลหิตสูงเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตของทุกท่าน เนื่องจากไม่มีอาการเตือน
ดังนั้น การจะทราบว่าเป็นความดันโลหิตสูง จำเป็นต้องวัดความดันโลหิต
ความดันโลหิตแค่ไหนจึงเป็นโรคความดันโลหิตสูง
เมื่อตรวจร่างกายแล้วว่าความดันโลหิตสูงต้องรับประทานยาทันทีหรือไม่เมื่อท่านตรวจพบความดันโลหิตสูงถ้าไม่สูงมากอาจจะไม่จำเป็นต้องรับประทานยา
แต่หากสูงมากก็จำเป็นต้องรับประทานยา ตารางข้างล่างจะเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วย
|
ความดันโลหิตที่วัดได้ (mm Hg)* |
ความรุนแรงของความดันโลหิต |
Systolic |
Diastolic |
จะต้องทำอะไร |
ความดันโลหิตที่ต้องการ |
น้อยกว่า 120 |
น้อยกว่า 80 |
ให้ตรวจซ้ำใน 2 ปี |
ความดันโลหิตสูงขั้นต้น Prehypertensionl |
130-139 |
85-89 |
ตรวจซ้ำภายใน 1 ปี |
ความดันโลหิตสูง |
ความดันโลหิตสูงระดับ 1 Stage 1 (mild) |
140-159 |
90-99 |
ให้ตรวจวัดความดันอีกใน 2 เดือน |
ความดันโลหิตสูงระดับ 2 Stage 2 (moderate) |
>160 |
>100 |
ให้พบแพทย์ใน 1 เดือน |
|
สาเหตุของความดันโลหิตสูง
ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงส่านใหญ่ไม่ทราบสาเหตุเรียก primary หรือ essential hypertension เราสามารถควบคุมความดันโลหิตได้แต่รักษาไม่หาย ดังนั้น
จึงจำเป็นต้องป้องกัน ส่วนที่ทราบสาเหตุเรียก secondary hypertension เช่น เนื้องอกต่อมหมวกไต ยาคุมกำเนิด หากทราบสาเหตุสามารถรักษาให้หายขาดได้
Primary hypertension
หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า essential hypertension เป็นความดันโลหิตสูงที่พบมากที่สุดกลุ่มนี้ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มักจะพบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์
กับการรับประทานอาหารเค็ม อ้วน กรรมพันธุ์ อายุมาก เชื้อชาติ และการขาดการออกกำลังกาย
Secondary hypertension
เป็นความดันโลหิตสูงที่ทราบสาเหตุ พบได้ประมาณร้อยละ 5 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงสาเหตุที่พบได้บ่อยคือ
- โรคไต ผู้ป่วยที่มีหลอดแดงที่ไปเลี้ยงไตตีบทั้งสองข้างมักจะมีความดันโลหิตสูง
- เนื้องอกที่ต่อมหมวกไตพบได้สองชนิดคือชนิดที่สร้างฮอร์โมน hormone aldosterone ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีความดันโลหิตสูงร่วมกับเกลือแร่โปแตสเซียม
ในเลือดต่ำ อีกชนิดหนึ่งได้แก่เนื้องอกที่สร้างฮอร์โมน catecholamines เรียกว่าโรค Pheochromocytoma ผู้ป่วยจะมีความดันโลหิตสูงร่วมกับใจสั่น
- โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ Coarctation of the aorta พบได้น้อยเกิดจากหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบบางส่วนทำให้เกิดความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตต่ำ
ปกติความดันโลหิตยิ่งต่ำยิ่งดีเพราะเกิดโรคน้อย แต่หากความดันโลหิตที่ต่ำทำให้เกิดอาการ เวียนศีรษะ เป็นลมเวลาลุกขึ้นแสดงว่าความดันต่ำไป
สาเหตุที่พบได้มีดังนี้
- ผู้ป่วยที่มีโรคระบบประสาทหรือต่อมไร้ท่อ
- ผู้ที่นอนป่วยนานไป
- ผู้ที่เสียน้ำหรือเลือด
เคล็ดลับในการรักษาความดันโลหิตสูง
- ตรวจวัดความดันเป็นระยะ
- รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ โดยลดน้ำหนักลง 10% สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน
- งดอาหารเค็มหรือเกลือ ไม่ควรได้รับเกลือเกิน 6 กรัมต่อวัน
- รับประทานอาหารไขมันต่ำ
- งดสูบบุหรี่
- รับประทานยาตามแพทย์สั่ง
- ไปตามแพทย์นัด
- ออกกำลังกายตามแพทย์แนะนำ โดยออกกำลังกายวันละ 30 – 45 นาที สัปดาห์ละ 3 -5 วัน
- รับประทานอาหารที่มีเกลือโปแตสเซี่ยม (ยกเว้นมีโรคไตร่วมด้วย)
- แนะนำให้พาพ่อแม่พี่น้องและลูกไปตรวจความดันโลหิต
ความดันโลหิตสูงในเด็ก
เราไม่ค่อยพบความดันโลหิตสูงในเด็ก แต่เด็กก็สามารถเป็นความดันโลหิตสูงการค้นพบความดันโลหิตสูงตั้งแต่แรกจะสามารถป้องกันโรคหัวใจ โรคไต
ดังนั้นเด็กควรที่จะได้รับการวัดความดันโลหิตเหมือนผู้ใหญ่ สาเหตุก็มีทั้ง primary และ secondary พบว่าเด็กที่มีน้ำหนักตัวมาก เด็กที่มีประวัติครอบครัวเป็นความ
ดันโลหิตหรือบางเชื้อชาติ กลุ่มเหล่านี้จะมีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูง แพทย์แนะนำอาหาร และการออกกำลังกาย หากความดันโลหิตไม่ลงจึงให้ยารับประทาน |
ทำไมต้องรักษาความดันโลหิตสูง
เนื่องจากโรคความดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอาการ แต่โรคความดันโลหิตสูงสามารถทำให้เกิดโรคแก่ร่างกาย เช่นทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก อาจจะทำให้เกิด
โรคหัวใจวาย โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งของโรคอัมพาต และยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดแดงแข็ง
ผู้ที่ไม่ได้รักษาความดันโลหิตสูงจะมีผลดังนี้
- มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้น 3 เท่า
- มีโอกาสเกิดโรคหัวใจวายเพิ่มขึ้น 6 เท่า
- มีโอกาสเกิดโรคอัมพาตเพิ่มขึ้น 7 เท่า
|
โรคแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูง
หัวใจทำหน้าที่บีบตัวไล่เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆโดยไปตามหลอดเลือด ความดันคือแรงดันของเลือดกระทำต่อผนังหลอดเลือด จะมีสองค่าคือ
ขณะที่หัวใจบีบตัวเรียกเรียก systolic และขณะหัวใจคลายตัวเรียก diastolic ดังนั้นความดันของคนจะมีสองค่าเสมอคือ systolic/diastolic
ซึ่งจะเขียน 120/80 มม.ปรอท ยิ่งความดันโลหิตสูงเท่าใดก็จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้มากขึ้น เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจโต หัวใจวาย พบว่าความดันโลหิต systolic
ที่เพิ่มขึ้นทุก 20 มม.ปรอท และความดันโลหิต diastolic ที่เพิ่มขึ้น 10 มม.ปรอท จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือกเพิ่มขึ้น 2 เท่าความดันของคน
เปลี่ยนแปลงได้ตลอด เช่น ขณะวิ่งความดันจะขึ้น ขณะนอนความดันจะลง การเปลี่ยนนี้ถือเป็นปกติ สำหรับคนที่เป็นความดันโลหิตสูง ความดันจะสูงกว่าค่าปกติ
ตลอดเวลา หากไม่รักษาจะก่อให้เกิดปัญหาดังนี้
- หลอดเลือดแดงแข็ง (arteriosclerosis) ความดันโลหิตสูงทำให้หลอดเลือดแดงแข็งและตีบหากไขมันในเลือดสูงจะทำให้หลอดเลือดแดงตีบเร็วขึ้น
ทำให้เลือดไปเลี้ยงร่างกายไปพอเกิด โรคหัวใจหรือโรคอัมพาต
- หัวใจวาย (heart attack) เมื่อหัวใจบีบตัวมากขึ้นในที่สุดหัวใจก็ไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ เกิดอาการของหัวใจวาย และหากเลือดไปเลี้ยง
กล้ามเนื้อหัวใจไม่พอจะเกิดอาการเจ็บหน้าอก บางครั้งหัวใจอาจหยุดเต้นทันที่
- หัวใจโต ความดันโลหิตสูงทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาและหัวใจโตขึ้น ถ้าหัวใจทำงานไม่ไหวเกิดหัวใจวายได้
- โรคไต หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตตีบหน้าที่การกรองของเสียจะเสียไปเกิดไตวาย การรักษาต้องล้างไตหรือเปลี่ยนไต
- โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) อาจเกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอเนื่องจากลิ่มเลือดไปอุดหลอดเลือดแดงที่ตีบ [thrombotic stroke] หรือเกิดจาก
หลอดเลือดสมองแตก [hemorrhagic stroke]
ผู้ที่มีความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูง
แม้ว่าความดันโลหิตสูงสามารถเป็นได้กับทุกคน แต่มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงกว่ากลุ่มอื่น
ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ ได้แก่
- ประวัติครอบครัว ถ้าปู่ บิดา มารดาเป็นความดันโลหิตสูง โอกาสที่บุตรจะมีความดันโลหิตสูงมีมาก ดังนั้นคุณผู้อ่านที่มีคุณพ่อ แม่เป็นความดันโลหิตสูง
ควรมั่นตรวจวัดความดันอย่างสม่ำเสมอ
- อายุ และเพศ วัยก่อนหมดประจำเดือนผู้ชายจะเป็นความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้หญิง เมื่อวัยหมดประจำเดือนผู้หญิงจะเป็นความดันโลหิตมากกว่าผู้ชาย
ส่วนในคนแก่พบความดันโลหิตสูงพอๆกัน โดยมากมักพบความดันในช่วงอายุ 35-50 ปี
- เชื้อชาติ พบความดันโลหิตสูงในผิวดำมากกว่าผิวขาว
ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้ ได้แก่
- น้ำหนัก คนอ้วนพบความดันโลหิตสูงมากกว่าคนผอม โดยเฉพาะคนที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 30 เมื่อลดน้ำหนักความดันจะลดลง
- เกลือ ทานเค็มมีแนวโน้มที่จะมีความดันโลหิตสูง
- การขาดการออกกำลังกาย
- ความเครียด
- ความดันโลหิตสูง
- การสูบบุหรี่
- ไขมันในเลือดสูง
- เบาหวาน
การรักษาโรคความดันโลหิตสูง
ประโยชน์จากการรักษาโรคความดันโลหิต พบว่าการลดความดันโลหิตจะสามารถลดโรคแทรกซ้อนโรคหลอดเลือดสมองได้ร้อยละ 30-35%
และสามารถลดโรคแทรกซ้อนโรคเส้นเลือดหัวใจตีบได้ 20-25% และลดโรคหัวใจวายได้ 50 %
เนื่องจากโรคความดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอาการ ผู้ป่วยบางรายมาพบแพทย์เมื่อมีโรคแทรกซ้อนแล้วเช่น ไตวาย หัวใจวายเป็นต้น การตรวจวัดความดัน
ประจำปี จะช่วยให้เรารักษาผู้ป่วยได้เร็วขึ้น การพิจารณาให้การรักษาผู้ป่วยความดันโลหิตสูงขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างเช่น ระดับความดันโลหิต โรคต่างๆที่พบร่วม
ปัจจัยเสี่ยงต่างที่เป็นดังแสดงในตารางข้างล่าง
|
ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ |
โรคร่วมต่างๆที่เป็นอยู่ |
การสูบบุหรี่ |
กล้ามเนื้อหัวใจหนา |
ไขมันในเลือดสูง |
เคยเป็นหลอดเลือดหัวใจตีบ |
โรคเบาหวาน |
เคยผ่าตัดเปลี่ยนหลอดเลือดหัวใจ |
หญิงอายุมากกว่า 65 ปี ชายมากกว่า 55 ปี |
หัวใจวาย |
อ้วนดัชนีมวลกายมากกว่า 30 |
เคยเป็นอัมพาต |
ประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ(หญิงก่อน 65 ชายก่อน 55) |
โรคไต |
ความดันโลหิตสูง |
หลอดเลือดขาตีบ |
ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย |
มีการเปลี่ยนแปลงทางตา |
พบไข่ขาวในปัสสาวะ |
|
|
เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงและโรคที่พบร่วมก็จะจัดผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้
- กลุ่ม A ผู้ป่วยไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและไม่มีโรคร่วม
- กลุ่ม B ผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงอย่างน้อย 1 ข้อแต่ไม่มีโรคร่วม
- กลุ่ม C ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือมีโรคต่างๆตามตาราง
หลังจากท่านได้จัดว่าท่านอยู่ในกลุ่มไหนแล้วก็จะมาพิจารณาว่าจะเริ่มรักษาความดันโลหิตสูงเมื่อใด |
ความรุนแรงของความดันโลหิต (systolic/diastolic mm Hg)
|
ผู้ป่วยกลุ่ม A
|
ผู้ป่วยกลุ่ม B
|
ผู้ป่วยกลุ่ม C
|
Prehypertensionผู้ที่มีความดันโลหิต
(120-139/85-89)
|
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
|
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
|
การให้ยา +ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
|
Stage 1 (140-159/90-99) |
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (จะให้ยาหลังจากปรับพฤติกรรมแล้วเป็นเวลา 1 ปีความดันไม่ลด)
|
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (จะให้ยาหลังจากปรับพฤติกรรมแล้วเป็นเวลา 6 เดือนแล้วความดันไม่ลด หากมีหลายปัจจัยเสี่ยงต้องรีบให้ยา)
|
การให้ยา +ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
|
Stage 2 >160/100 |
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม +การให้ยา2ชนิด |
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม +การให้ยา |
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม +การให้ยา |
|
- จากตารางจะเห็นว่าผู้ป่วยกลุ่ม C จะเริ่มให้ยาเมื่อความดันโลหิตสูงไม่มากเพราะกลุ่ม c มีโรคอยู่หากรักษาช้าจะทำให้โรคที่เป็นอยู่มีอาการแย่ลง
- กลุ่ม B และ C หากความดันอยู่ในช่วง 140-160 ยังมีเวลาปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 6เดือน-1 ปี แต่ถ้าความดันมากกว่า 160 จะให้ยาเลย
แต่ต้องเน้นว่าจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมด้วยเสมอ
การรักษาความดันโลหิตสูงโดยไม่ต้องใช้ยา
ไม่ว่าคุณจะมีเชื้อชาติอะไร เพศ อายุเท่าใดคุณสามารถป้องกันความดันโลหิตสูงหรือการรักษาความดันโลหิตสูง โดยที่ไม่ต้องใช้ยาโดยวิธีการดังต่อไปนี้
ที่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือการรักษาความดันโลหิตสูงโดยไม่ต้องใช้ยา |
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
|
คำแนะนำ
|
ความดันที่ลด
|
น้ำหนัก |
รักษาน้ำหนักให้ดัชนีมวลกายไม่เกิน 23 |
5-20 มม.ปรอท/ นน 10 กกที่ลด |
รับประทานอาหารตามหลักของ DASH |
รับประทานผัก ผลไม้ให้มาก ลดอาหารที่มัน และไขมันอิ่มตัว |
8-14 มม.ปรอท |
งดเค็ม |
ปริมาณโซเดียมน้อยกว่า 100 mEg/L(เกลือน้อยกว่า 6 กรัม/วัน) |
2-8 มม.ปรอท |
การออกกำลังกาย |
ออกกำลังกายวันละ 30นาทีอย่างน้อย 3 วัน/สัปดาห์ |
4-9 มม.ปรอท |
ลดการดื่มสุรา |
ชายน้อยกว่า 2 หน่วย หญิงน้อยกว่า 1 หน่วย |
2-4 |
|
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หากคุณอ้วนให้รีบลดน้ำหนัก
- ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- เลือกอาหารมี่มีเกลือต่ำ
- ให้ลดปริมาณแอลกอฮอล์ให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
- งดบุหรี่ เป็นวิธีการที่ได้ผลดีในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
- จัดการเรื่องความเครียด
- รับประทานอาหารที่มีคุณภาพโดยการลดอาหารเค็ม ลดอาหารมันเพิ่มผักผลไม้
- รึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่เพราะมียาบางตัวทำให้เกิดความดันโลหิตสูง
- การจะใช้ยาคุมกำเนิดต้องปรึกษาแพทย์
หลักการดังกล่าวสามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูงได้ ที่สำคัญคือต้องงดบุหรี่
1. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- เลือกอาหารที่มีไขมันต่ำ อาหารไขมันต่ำจะให้พลังงานน้อย อาหารที่ให้พลังงานมากควรหลีกเลี่ยงได้แก่ เนย น้ำสลัด เนื้อติดมัน เนื้อติดหนัง นมสด ของทอด
เช่นปลาท่องโก๋ กล้วยแขก ไก่ทอด เค้ก คุกกี้ ให้เลือกอาหารที่มีพลังงานน้อยเช่น ใช้อบหรือเผาแทนการทอด เลือกไก่ไม่ติดหนัง ปลา ดื่มนมพร่องมันเนย
แทนนมสด รับประทานผักให้มาก
- เลือกอาหารที่มีแป้งและใยให้มาก
- ใช้จานใบเล็กและห้ามตักครั้งที่สอง ควรจดรายการอาหารที่รับประทานทุกครั้ง ไม่ควรรับประทานอาหารว่างขณะดูทีวีไม่ควรงดอาหารมื้อหนึ่งแล้วชดเชย
มื้อต่อไป
- ให้เพิ่มออกกำลังกายเพิ่ม การออกกำลังกายหรือการทำงานบ้านจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานทำให้น้ำหนักลดตารางข้างล่าง จะแสดงพลังงาน
ที่ใช้ในการออกกำลังกาย
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายนอกจากทำให้น้ำหนักลดแล้วยังลดไขมัน cholesterolในเลือด และเพิ่ม HDL นอกจากการออกกำลังกายแล้วท่านผู้อ่านยังสามารถทำให้
ร่างกายมีการออกกำลังอยู่ตลอดเวลา เช่นใช้บันไดแทนลิฟท จอดรถก่อนถึงที่ทำงานแล้วเดินต่อ ขี่จักรยานแทนการนั่งรถ ตัดหญ้า ทำสวน ไปเต้นรำเป็นต้น
ผู้ป่วยสามารถออกกำลังได้เลยโดยที่ไม่ต้องปรึกษาแพทย์นอกจากท่านจะมีอาการดังต่อไปนี้ขณะออกกำลังกาย แน่นหน้าอก จะเป็นลมขณะออกกำลังกาย
หายใจเหนื่อยเมื่อเริ่มออกกำลังกาย หรืออายุกลางคนโดยที่ไม่ได้ออกกำลังกาย การออกกำลังกายควรออกแบบ aerobic คือออกกำลังกายแล้วร่างกายใช้ออกซิเจน
เพื่อให้พลังงาน ควรออกกำลังกายครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 2-5 ครั้งยิ่งออกกำลังกายมาก จะช่วยลดความดันโลหิตลงได้มาก มีรายงานว่าสามารถ ลดระดับ
ความดันโลหิตลงได้ 5-15 มิลิเมตรปรอท
|
พลังงานที่เผาผลาญ |
กิจกรรม |
พลังงานที่ใช้ใน 1 ชม.
|
|
ผู้ชาย
|
ผู้หญิง
|
ออกกำลังกายแบบเบา |
300
|
240
|
ทำความสะอาดบ้าน |
|
|
เล่นเบสบอล |
|
|
ตีกอล์ฟ |
|
|
ออกกำลังกายปานกลาง |
460
|
370
|
เดินเร็วๆ |
|
|
ทำสวน |
|
|
ขี่จักรยาน |
|
|
เต้นรำ |
|
|
เล่นบาสเกตบอล |
|
|
ออกกำลังกายมาก |
730
|
580
|
วิ่งจ๊อกกิ้ง |
|
|
เล่นฟุตบอล |
|
|
ว่ายน้ำ |
|
|
|
3. เลือกอาหารที่มีเกลือต่ำ
การลดอาหารเค็มจะช่วยป้องกันและลดความดันโลหิต ได้ โดยทั่วไปห้ามกินเกลือเกิน 6 กรัมหรือ 1 ช้อนชา(เท่ากับ โซเดียม 2400 มิลลิกรัม) แต่แนะนำให้
รับประทานเกลือ 1500 มิลิกรับเทียมเท่าปริมาณเกลือ 4 กรัมหรือ 2/3 ช้อนชาท่านผู้อ่านไม่ควรปรุงรสอาหารก่อนชิมอาหาร หากปรุงรสอาหารเองต้องเติมเกลือ
ให้น้อยที่สุด
เกลือ 1/4 ช้อนชาเท่ากับโซเดียม 500 มิลิกรัม
เกลือ 1/2 ช้อนชาเท่ากับโซเดียม 1000 มิลิกรัม
เกลือ 2/3 ช้อนชาเท่ากับโซเดียม 1500 มิลิกรัม
เกลือ 1 ช้อนชาเท่ากับโซเดียม 2400 มิลิกรัม
- หากท่านซื้ออาหารกระป๋องท่านต้องอ่านสลากอาหารเพื่อดูปริมาณสารอาหารเลือกที่มีเกลือต่ำ
- รับประทานอาหารสด เช่น เนื้อสัตว์ ผัก หรือผลไม้ แทนการรับประทานอาหารที่ผ่านขบวนการถนอมอาหาร
- ไม่เติมเกลือหรือน้ำปลาเพิ่มในอาหารที่ปรุงเสร็จ
- หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม เช่น หมูเค็ม เบคอน ไส้กรอก ผักดอง มัสตาร์ด และเนยแข็ง
- อาหารตากแห้ง เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม หอยเค็ม กุ้งแห้ง ปลาแห้ง
- เนื้อสัตว์ปรุงรส ได้แก่ หมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง
- อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่สำเร็จรูป โจ๊กซอง ซุปซอง
- อาหารสำเร็จรูปบรรจุถุง เช่น ข้าวเกรียบ ข้าวตังปรุงรส มันฝรั่ง
- เครื่องปรุงรสที่มีเกลือมาก เช่น ซุปก้อน ผงชูรส ผงฟู
- อาหารหมักดองเค็ม เช่น กะปิ เต้าหู้ยี้ ปลาร้า ไตปลา ไข่เค็ม ผักดอง ผลไม้ดอง แหนม ไส้กรอกอิสาน
4.จำกัดการดื่มแอลกอฮอล ผู้ชายให้ดื่มไม่เกิน 2 drink ผู้หญิงไม่เกิน 1 drink 1 drink เท่ากับ
- วิสกี้ 45 มล.
- ไวน์ไม่เกิน 150 มล..
- เบียร์ไม่เกิน300 มล.
นอกจากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นการได้รับโปแตสเซียมแคลเซียมแมกนีเซียมและน้ำมันปลายังช่วยลดความดันโลหิตในผู้ป่วยบางราย |
ผลไม้ที่มีโปแทสเซี่ยมสูง
|
ผักที่มีโปแทสเซียมสูง |
|
Apple
Apple juice
Apricot
Avocado*
Banana*
Cantaloupe*
Date
Grapefruit
Grapefruit juice*
Honeydew melon*
Nectarine*
Orange juice
Prune*
Prune juice*
Raisin*
Watermelon |
|
Asparagus
Beans, white or green
Broccoli
Brussels sprouts
Cabbage (cooked)
Cauliflower (cooked)
Corn on the cob
Eggplant (cooked)
Lima beans (fresh and cooked)
Peas, green (fresh and cooked)
Peppers
Potatoes* (baked or boiled)
Radishes
Squash, summer and winter (cooked) |
|
- โปแตสเซียม potassium มีมากในผักผลไม้ปลาถั่วกล้วยน้ำส้มมะเขือเทศดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง ควรจะรับอาหารเหล่านี้เพิ่มเพื่อป้องกัน
การขาดเกลือโปแทสเซียม
- แคลเซียม calcium พบมากในนมไข่ผัก
- แมกนีเซียม magnesium พบมากในผักใบเขียวถั่ว
- ไขมันน้ำมันปลารับประทานมากจะลดความดันโลหิตได้แต่ไม่แนะนำเนื่องจากจะทำให้อ้วน
|
ยาลดความดันโลหิต
1. Angiotensin converting enzyme inhibitors (ACE inhibitors) and angiotensin receptor blockers (ARB)
ยาในกลุ่มนี้จะมีผลต่อฮอร์โมน renin-angiotensin hormonal system ผู้ป่วยร้อยละ 50-60จะตอบสนองดีต่อยาชนิดนี้ ยากลุ่มนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วย
ความดันโลหิตที่มีกล้ามเนื้อหัวใจหนา (left ventricular hypertrophy) ป้องกันไตเสื่อมในผู้ป่วยที่มีไข่ขาวในปัสสาวะ ผู้ป่วยที่หัวใจวาย ผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจตีบ
- ยาในกลุ่ม ACE inhibitors ได้แก่ยา enalapril , captopril , lisinopril , benazepril , perindopril quinapril
- ยาในกลุ่ม ARB drugs ได้แก่ losartan , irbesartan , valsartan , candesartan
ผลเสียของยากลุ่มนี้ได้แก่อาการไอพบได้ร้อยละ 20 เมื่อหยุดยา 1-2 สัปดาห์อาการไอจะหายไป หากมีอาการมากให้ใช้ยากลุ่ม ARB drugs แทนกลุ่ม
ACE inhibitors นอกจากไอแล้วยังอาจจะทำให้ไตเสื่อมโดยเฉพาะผู้ที่ขาดน้ำ โรคหัวใจ ควรจะต้องติดตามการทำงานของไต ผู้ป่วยอาจจะมีผื่นที่ผิวหนัง ลิ้นไม่รับรส
เกลือแร่โปแตสเซียมอาจจะสูงขึ้นโดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไตทำงานไม่ดีควรจะให้ยาขับปัสสาวะที่ขับเกลือโปแตสเซียม
เมื่อใช้ยากลุ่มนี้จะต้องระวังการใช้ยาชนิดไหน
ควรจะระวังการให้ยาขับปัสสาวะที่ทำให้เกลือโปแทสเซียมสูงขึ้นเช่น spironolactone ,moduretic,dyazide หรือการให้เกลือแร่โปแทสเซียม ยาแก้ปวด
กลุ่ม NSAID โดยเฉพาะ indocid จะทำให้ผลการลดความดันลดลง ผู้ที่เป็นโรคจิตและได้ยากลุ่ม Lithium จะทำให้เกิดเป็นพิษต่อ lithium เพิ่ม สำหรับผู้ที่เป็นโรคเก๊า
และได้รับยา Allopurinol อาจจะทำให้เกิดผื่นแพ้ได้ง่าย |
ชื่อยา |
ขนาดยา( มิลิกรัม) |
ขนาดที่ใช้ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง |
Benazepril |
5,10,20,40 |
20-40/วัน วันละครั้งถึงวันละ 2 ครั้ง |
Captopril |
12.5,25,20,100 |
50-450/วัน วันละ 2 ครั้งถึงวันละ 3 ครั้ง |
Enalapril |
2.5,5,10,20 |
10-40/วัน วันละครั้งถึงวันละ 2 ครั้ง |
Fosinopril |
10,20 |
20-40/วัน วันละครั้งถึงวันละ 2 ครั้ง |
Lisinopril |
2.5,5,10,20,40 |
20-40/วัน วันละครั้ง |
Moexipril |
7.5,15 |
7.5-30/วัน วันละครั้งถึงวันละ 2 ครั้ง |
Quinapril |
5,10,20,40 |
20-80/วัน วันละครั้งถึงวันละ 2 ครั้ง |
Ramipril |
1.25,2.5,5,10 |
2.5-20/วัน วันละครั้งถึงวันละ 2 ครั้ง |
Tandolepril |
1,2,4 |
1-4/วัน วันละครั้ง |
|
2. Beta-blockers
เป็นยาที่ปิดกั้นระบบประสาทอัตโนมัติซึ่งจะทำให้ความดันโลหิตและชีพขจรลดลง ยานี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ที่พบร่วมกับชีพขจรเร็ว ผู้ป่วยมีอาการ
เจ็บหน้าอกจากเส้นเลือดหัวใจตีบ และยังป้องกันปวดศีรษะจากไมเกรน ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ atenolol , propranolol , metoprolol ผลข้างเคียง ของยากลุ่มนี้ได้แก่
จะมีอาการมือเท้าเย็น ทำให้โรคหอบหืดเป็นมากขึ้น ซึมเศร้า ฝันร้าย อ่อนเพลีย เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ยากลุ่มนี้ห้ามให้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด โรคถุงลมโป่งพอง
โรคหัวใจวาย หัวใจเต้นผิดปกติบางชนิด นอกจากนี้ยังต้องระวังในการใช้สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
3. Diuretics
ยาขับปัสสาวะเป็นตัวแรกๆที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูงยานี้จะออกฤทธิ์โดยการขับเกลือออกจากร่างกายโดยมากมักจะใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น ยาที่นิยมใช้ได้แก่
hydrochlorthiazide , furosemide ยาขับปัสสาวะที่ทำให้โปแทสเซียมสูงเช่น Spironolactone ,Amiloride, Trimterene ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้คืออาจจะทำให้
ร่างกายขาดน้ำ เกลือโปแทสเซียมต่ำ ไขมันในเลือดสูง เลือดเป็นด่าง เกลือโวเดียมต่ำ
4. Calcium channel blockers
ยากลุ่มนี้จะปิดกลั้นการไหลเข้าของเกลือแคลเซียมทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวลดลง ความดันโลหิตลดลงยาในกลุ่มนี้ได้แก่ nifedipine , fellodipine
nisoldipine ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ได้แก่ ใจสั่น บวมหลังเท้า ท้องผูก ปวดศีรษะหรือเวียนศีรษะ
|
สรุปการรักษาโรคความดันโลหิตสูง
- จากการรวบรวมข้อมูลพบว่าการลดน้ำหนักประมาณ 5.1 กิโลกรัมจะสามารถลดความดันโลหิตได้
4.4/3.6 มิลิเมตรปรอท ยิ่งน้ำหนักลดมากเท่าใดความดัน จะลดลงมากเท่านั้น แนะนำว่าให้คุมน้ำหนัก
โดยที่มีค่าดัชนีมวลกายประมาณ 25
- การลดปริมาณเกลือที่รับประทานจะลดความดันโลหิตทั้งผู้ที่มีความดันปกติและผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
โดยแนะนำว่ารับประทานไม่เกิน 2.3 กรัม/วัน
- รับประทานผักและผลไม้ให้มาก เนื่องจากผักและผลไม้จะมีโปแตสเซี่ยมมากซึ่งจะช่วยลดความดันโลหิต
แนะนำให้รับประทานวันละ 4.7 กรัม/วัน
- การดื่มสุรามากจะทำให้ความดันเพิ่ม แนะนำให้ดื่มวันละ 2 และ 1 หน่วยสุราในชายและหญิงตามลำดับ
- การรับประทานผักมากจะช่วยลดระดับความดันโลหิต
- การรับประทานอาหารที่ลดความดัน จะลดความดันโลหิตทั้งคนปกติและผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
โดยเริ่มลดเมื่อเวลา 2 สัปดาห์
- การรับประทานน้ำมันปลา Omega-3 polyunsaturated fatty acid จะสามารถลดระดับความดันโลหิต
- แต่ต้องรับประทานมากถึง 3 กรับ/วัน
- ยังไม่มีหลักฐานว่าการรับประทานอาหารที่มีแคลเซี่ยม แมกนีเซี่ยม และใยอาหารว่างสามารถลดระดับ
ความดันโลหิต
- คนที่สูงอายุจะตอบสนองต่อการคุมอาหารได้ดีกว่าคนหนุ่ม
|
|
ที่มา.. ศูนย์สุขภาพโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา |