ออกกำลังกาย แต่ทำไมน้ำหนักไม่ลด!
ออกกำลังกาย แต่ทำไมน้ำหนักไม่ลด!

ออกกำลังกาย แต่ทำไมน้ำหนักไม่ลด!
การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีที่สุดของการลดน้ำหนัก แต่เคยสงสัยบ้างไหมว่าเหตุใด ตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนักจึงไม่ลดลงเลย ทั้งๆ ที่เราก็ไปยิมอยู่ประจำ ลองมาดูกันดีกว่าว่าเพราะอะไร
ออกกำลังแบบเดิมๆ ไม่เคยเปลี่ยน
เมื่อคุณออกกำลังกายด้วยรูปแบบเดิมๆ หรือเล่นเครื่อง Cardio แบบเดิมซ้ำๆ ร่างกายจะใช้กล้ามเนื้ออยู่ลักษณะเดียว เช่น วิ่งลู่วิ่งอย่างเดียว ร่างกายจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนกล้ามเนื้อส่วนอื่น เพราะฉะนั้น ลองเปลี่ยนพฤติกรรมโดยเปลี่ยนไปเล่นเครื่องเล่นแบบอื่นๆ ดูบ้าง
เชื่อตัวเลขที่ปรากฏบนโปรแกรมเครื่องเล่นมากเกิน
ไม่ว่าคุณจะเล่นเครื่องคาดิโอแบบไหน อย่าไปอิงกับตัวเลข ระยะทาง จำนวนนาทีหรือแคลอรีบนหน้าปัดมากนักเพราะมีตัวแปรมากมาย และบางครั้งมักเกินจริง
โหมโรงตลอด
สำหรับคนใจร้อนอาจโหมออกกำลังให้มากกว่าเดิม เพราะเข้าใจผิดคิดว่าจะเป็นการช่วยเร่งให้ร่างกายเอาไขมันสะสมมาใช้ได้มากขึ้น แต่ในความเป็นจริง การออกกำลังที่หักโหมมากเกินไปนั้น จะทำให้คุณรู้สึกหิวโหยอาหารอย่างบ้าคลั่ง วิธีที่ดีที่สุดคือ ควรออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ
ไม่ระวังเรื่องอาหาร
เมื่อคุณใช้พลังงานไปกับการออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็นแบบเบาหรือหนัก สิ่งหนึ่งที่ตามมาคืออาการหิว ควรใส่ใจกับสิ่งที่จะกินเข้าไปโดยคำนวณจากจำนวนแคลอรีของอาหารก่อนรับประทาน (ปกติร่างกายของผู้ชายต้องการพลังงาน 1,800–2,500 กิโลแคลอรี ส่วนผู้หญิงประมาณ 1,500–2,000 กิโลแคลอรี) ลองคำนวณง่ายๆ จากอาหาร 1 มื้อที่รับประทานว่าโดยเฉลี่ยแต่ละจานนั้นให้พลังงานกี่กิโล ตั้งเป้าการเผาผลาญพลังงานที่คุณได้รับในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายได้ดึงเอาไขมันสะสมออกมาใช้
ดื่มน้ำน้อยเกินไป
ไม่ว่าคุณจะออกกำลังกายหรือไม่ น้ำย่อมเป็นสิ่งที่ร่างกายของคนเราต้องการ และควรได้รับในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวัน สำหรับคนที่ออกกำลังกายและลดน้ำหนัก ยิ่งจำเป็นต้องดื่มน้ำมากกว่าปกติ เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำ (เหงื่อ) ในร่างกาย กินน้ำได้วันละ 8 แก้ว ก็ควรจะเริ่มหัดกินน้ำมากขึ้นทีละนิดทีละน้อย
เล่นเครื่อง Cardio ให้ได้ผล ช่วยเพิ่มการเผาผลาญ
การเล่นเป็นจังหวะ (Interval Training) หนักเบาสลับกัน จะช่วยให้เกิดการเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าการเล่นแบบคงที่ หากคุณเลือกโปรแกรม Cardio เป็นการวิ่งจ๊อกกิ้ง ให้ลองเพิ่มการวิ่งเร็วอีก 1-2 นาที แล้วกลับมาวิ่งจ๊อกกิ้งด้วยความเร็วเดิม หรือหากเลือกเป็นการเดินเร็ว ก็ลองเพิ่มการจ๊อกกิ้งเข้าไป สลับกับการเดินเร็ว 1 นาที จ๊อกกิ้งอีก 1 นาที แล้วกลับมาเดินเร็วอีก 1 นาที ทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนจบตามระยะเวลาของโปรแกรม วิธีนี้จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญได้ดียิ่งขึ้น

ขอบคุณภาพประกอบจาก : istock
เนื้อหาโดย : www.lisaguru.com