Healthy Tip:สาเหตุของลำไส้อักเสบ
Healthy Tip:สาเหตุของลำไส้อักเสบ
“ลำไส้อักเสบ” มาจากคำว่า Enteritis หมายถึง โรคที่เกิดจากการอักเสบของลำไส้ ซึ่งมีอาการสำคัญ คือ ท้องเสีย ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ คลื่นไส้ อาเจียน บางครั้งมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว การถ่ายอุจจาระบ่อยๆ แต่ลักษณะอุจจาระเป็นก้อนตามปกติไม่ถือว่าเป็นโรคลำไส้อักเสบ
โรคลำไส้อักเสบแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ โรคลำไส้อักเสบชนิดเฉียบพลัน และ โรคลำไส้อักเสบชนิดเรื้อรัง โดยถ้าเป็นชนิดเฉียบพลันโรคควรหายภายใน 2 สัปดาห์ (หากไม่มีโรคแทรกใดๆ) แต่ถ้าเป็นนานกว่านั้นหรือนานกว่า 1 เดือนถือเป็นอาการของโรคเรื้อรัง สาเหตุของโรคลำไส้อักเสบทั้ง 2 ชนิดนี้แตกต่างกัน รวมทั้งแนวทางการรักษาก็ไม่เหมือนกัน
สาเหตุของโรคลำไส้อักเสบ
ในกลุ่มท้องเสียเฉียบพลันส่วนใหญ่เกิดจากอาหารที่กิน หรือที่เรียกว่า โรคอาหารเป็นพิษ แบ่งออกเป็นชนิดที่เกิดจากการติดเชื้อโรคและชนิดไม่ติดเชื้อโรค การติดเชื้อเกิดได้จากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และพวกปรสิตต่างๆ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ส่วนชนิดไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น เกิดจากสารพิษที่อยู่ในอาหาร กลุ่มนี้มักจะหายเองภายใน 3-4 วัน หรือต้องไม่เกิน 2 สัปดาห์
กลุ่มท้องเสียเรื้อรังมีสาเหตุที่แตกต่างออกไป ผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียที่นานกว่า 2 สัปดาห์มักเป็นโรคที่ไม่สามารถหายได้ด้วยการดูแลตนเองเพียงอย่างเดียว จึงแนะนำให้ผู้ป่วยที่มีอาการนานเกิน 2 สัปดาห์ไปขอคำแนะนำและตรวจรักษาจากแพทย์โดยเร็ว
ลำไส้อักเสบเฉียบพลัน
• ชนิดที่เกิดจากการติดเชื้อ ลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อเกิดมากถึงร้อยละ 75 ของโรคท้องเสียเฉียบพลัน ส่วนใหญ่เกิดจากแบคทีเรีย โดยมีกลไกที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้หลายชนิด ชนิดหลักๆ ได้แก่ เกิดจากพิษของแบคทีเรียโดยที่ไม่มีการรุกรานทำลายผิวของลำไส้ (Non-invasive)ท้องเสียเกิดจากสารพิษต่อลำไส้ที่สร้างจากแบคทีเรียที่ทำให้ลำไส้ขับน้ำเข้ามาในลำไส้เป็นจำนวนมาก เช่น อหิวาตกโรคซึ่งอาจทำให้ถ่ายอุจจาระได้มากกว่า 10 ลิตรต่อวัน ทำให้เกิดภาวะช็อกจากการสูญเสียน้ำไปกับอุจจาระภายในไม่กี่ชั่วโมง พิษส่วนใหญ่ถูกทำลายได้ด้วยความร้อนจากการต้ม เช่น อหิวาตกโรค แต่มีพิษบางชนิดที่ทนความร้อน เช่น พิษจากเชื้อ Staphylococcal Aureus, Bacillus cereus เป็นต้น
เกิดจากการรุกรานทำลายผิวของลำไส้โดยแบคทีเรีย (Invasive) อาการของโรคเกิดจากการทำลายผนังของลำไส้ และอาจเกิดร่วมกับการสร้างพิษของมัน เช่น ไข้ไทฟอยด์ (Salmonellosis) เชื้อบิดไม่มีตัว (Shigellosis) เป็นต้น เชื้อกลุ่มนี้ทำให้มีอาการท้องเสีย ปวดท้อง มีไข้สูง อุจจาระมีมูกเลือดหรือมีกลิ่นเหม็น
เกิดจากการติดเชื้อไวรัส (Viral gastroenteritis) เป็นสาเหตุของอาการท้องเสียที่พบบ่อยในเด็กเล็ก เคยมีความเชื่อว่าเกิดในเฉพาะผู้ป่วยเด็กแต่ปัจจุบันพบโรคนี้ในผู้ป่วยผู้ใหญ่มากขึ้น ไวรัสที่เป็นสาเหตุ ได้แก่ Rota visus, Adenovirus ส่วนไวรัสที่พบได้ในผู้ใหญ่ ได้แก่ ไวรัส Norovirus หรือ Norwalk-like Virus อาการสำคัญของลำไส้อักเสบจากไวรัส ได้แก่ อาการท้องเสีย มีไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้ ปวดตามตัว เป็นต้น
•โรคลำไส้อักเสบเฉียบพลันที่ไม่ใช่เกิดจากการติดเชื้อ
เป็นสาเหตุส่วนน้อยของโรคท้องเสียเฉียบพลัน เกิดจากกินสารมีพิษหรือกินอาหารที่ย่อยยากจำนวนมากพอที่จะทำให้เกิดโรค เช่น สารพิษจากปลาทะเล สารโลหะหนัก เห็ดพิษบางชนิด กินนมสดนานๆ ครั้ง หรือกินยาผิด เป็นต้น แพทย์บางท่านไม่เรียกลำไส้อักเสบเพราะไม่มีลักษณะอักเสบที่ผนังลำไส้ แต่เรียกว่าท้องเสียจากอาหารเป็นพิษ ผู้ป่วยมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง และมักเกิดภายใน 2-4 ชั่วโมงหลังได้รับพิษ
ลำไส้อักเสบเรื้อรัง
ลำไส้อักเสบเรื้อรังเป็นโรคที่พบไม่บ่อยนัก แต่เป็นโรคที่ต้องมีการตรวจหาสาเหตุเพราะจะไม่หายเองถ้าไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ในกลุ่มนี้นอกจากจะมีอาการท้องเสีย อาจพบอาการอื่นๆ ของโรค เช่น การขาดอาหาร น้ำหนักลด ไม่มีแรง ซีด หรือมีไข้ อุจจาระมีเลือดหรือมูกเลือด ปวดท้องเป็นๆ หายๆ มีก้อนในท้อง ตาเหลืองตัวเหลือง หรือมีอายุมากกว่า 50 ปี เป็นต้น อาการเหล่านี้เป็นอาการเตือนให้ไปพบแพทย์ทันที
อาการถ่ายเหลวเป็นครั้งคราวอาจเป็นลักษณะของลำไส้แปรปรวน (ซึ่งต้องไม่มีอาการอื่นๆ ตามที่กล่าวข้างต้น) ไม่ใช่โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
ลำไส้อักเสบเฉียบพลันเกิดได้อย่างไร
ลำไส้อักเสบเฉียบพลันเกิดจากการกินอาหารหรือน้ำที่มีสารพิษหรือเชื้อโรคเข้าไป โดยทั่วไปแพทย์ถือว่าอาหารที่เป็นต้นเหตุคืออาหารมื้อสุดท้ายก่อนเกิดอาการ แต่สำหรับโรคติดเชื้อนั้นไม่แน่นอนเสมอไป ระยะเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนมีอาการเกิดขึ้น เราเรียกว่า ระยะฟักตัว ซึ่งเป็นลักษณะของโรคติดเชื้อ อาจเป็นระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงจนถึงหลายวัน ในทางปฏิบัติในหลายกรณีก็ไม่สามารถระบุชนิดของอาหารที่เป็นต้นเหตุได้
การตรวจหาเชื้อในร่างกายอาจตรวจได้จากการนำอุจจาระของผู้ป่วยไปเพาะเชื้อหาชนิดของเชื้อ แต่เป็นที่น่าเสียดายเพราะต้องใช้ระยะเวลานานหลายวันจึงจะทราบผล ซึ่งอาการมักจะหายไปก่อนที่จะได้ผลการเพาะเชื้อดังกล่าว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทราบเชื้อจากการเพาะเชื้อก่อนเสมอไป ในทางปฏิบัติแพทย์มักจะไม่แนะนำให้ทำการเพาะเชื้อหรือตรวจอุจจาระเพื่อทำการรักษา ยกเว้นในรายที่มีอาการรุนแรงหรือในรายที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น อาหารที่ทำให้อาจเกิดลำไส้อักเสบในชีวิตประจำวันที่พบบ่อย ได้แก่
• อาหารทำเสร็จแล้วที่ตั้งทิ้งไว้นาน ทำให้แบคทีเรียมีการแบ่งตัว เกิดเชื้อมากพอที่จะทำให้เป็นโรค หรือสร้างพิษได้มากขึ้น การแช่เย็นอาหารนานเกินกว่าสามวันก็อาจทำให้เกิดโรคได้เช่นกัน
• อาหารที่ทำไม่สุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภทเนื้อสัตว์
• อาหารทะเลสุกๆ ดิบๆ หรือประเภทปิ้งย่างหรือเผา
• ข้าวหรือนมสดที่บูดแล้ว
• น้ำดื่มที่ไม่สะอาด ไม่ได้ผ่านการต้มหรือการกรองที่ถูกวิธี
• การติดต่อจากผู้ป่วยที่เป็นลำไส้อักเสบผ่านการสัมผัสถ่ายอุจจาระของผู้ป่วย
• อาหารที่ดูไม่สะอาด ฯลฯ
การดูแลรักษา
ร่างกายมีกลไกที่จะกำจัดพิษหรือเชื้อโรคออกจากร่างกายด้วยการทำให้เกิดท้องเสีย ดังนั้นการถ่ายอุจจาระในแต่ละครั้งถือเป็นกลไกการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย หลักการรักษาที่สำคัญคือการป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อันตรายของลำไส้อักเสบ ได้แก่ ร่างกายสูญเสียน้ำจากการถ่ายอุจจาระหรืออาเจียน ดังนั้นการดูแลผู้ป่วยโรคนี้จำเป็นต้องให้น้ำให้เพียงพอ ซึ่งหมายรวมถึงการดื่มน้ำเกลือแร่ หรือใช้เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬาในร้านสะดวกซื้อทั่วไป (หรือการให้น้ำเกลือเข้าเส้นเลือดดำที่เพียงพอในกรณีที่อาการรุนแรงมากที่เข้ารักษาในโรงพยาบาล)
ผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากและไม่รุนแรงสามารถจะดูแลรักษาตัวเองได้ที่บ้านด้วยการดื่มน้ำเกลือแร่และกินอาหารอ่อนๆ เท่าที่สามารถกินได้ การให้ดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่าการกินอาหาร ผู้ป่วยหลายคนไม่อยากกินอาหารหรือน้ำเลยเนื่องจากคลื่นไส้หรืออาจทำให้ท้องเสียบ่อยมากขึ้น อาจทำให้อาการขาดน้ำรุนแรงขึ้นได้ ดังนั้นการกินน้ำเกลือแร่หรือน้ำดื่ม และการกินอาหารจึงจำเป็นเพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำที่เกิดขึ้น แต่ถ้าผู้ป่วยกินน้ำหรือน้ำเกลือแร่ไม่ได้เลยจนรู้สึกอ่อนเพลียมากควรได้รับการรักษาจากแพทย์ เพื่อให้น้ำเกลือเข้าเส้นเลือดดำร่วมกับยากันอาเจียน
ผู้ป่วยส่วนหนึ่งมักคิดว่าถ้ากินยาฆ่าเชื้อแล้วจะหาย แต่ทางการแพทย์พบว่าโรคลำไส้อักเสบส่วนใหญ่หายเองได้ โดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อ ดังนั้นในกรณีที่มีอาการไม่รุนแรงไม่จำเป็นต้องกินยาฆ่าเชื้อใดๆ ผู้ป่วยควรได้ยาฆ่าเชื้อในกรณีที่มีอาการไม่หาย เป็นนานเกิน 5 วัน หรือในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง
โรคลำไส้อักเสบ มีอาการสำคัญคือ ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ เป็นโรคที่เกิดจากการกินอาหารที่ไม่สะอาด มีสารพิษ หรือมีเชื้อโรคทำให้เกิด โรคนี้มักจะหายเองได้ในระยะเวลา 3-4 วัน หรือไม่เกินสองสัปดาห์ ต้องระวังว่าโรคลำไส้อักเสบมีความรุนแรงได้ เช่น มีไข้สูง มีอาการของการขาดน้ำในร่างกายจำนวนมาก หรืออาเจียนกินน้ำไม่ได้ หรือมีอุจจาระมีเลือดปน อาการเหล่านี้ควรพบแพทย์ทันที การรักษาโรคเน้นที่การดื่มน้ำให้พอเพียง โดยเฉพาะน้ำเกลือแร่ชนิดผงละลายน้ำ หรือเครื่องดื่มสำหรับนักกีฬาในร้านสะดวกซื้อ ในกรณีที่อาการไม่หายนานเกิน 2 สัปดาห์หรือ 1 เดือน ถือว่าเป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ควรต้องปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อตรวจหาสาเหตุโดยละเอียด
อาการที่มีความรุนแรงและต้องรีบไปพบแพทย์ทันที ได้แก่
- คลื่นไส้อาเจียน กินอาหารไม่ได้ ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการขาดน้ำในร่างกาย จนอาจมีภาวะช็อกได้
- อาการท้องเสียและสูญเสียน้ำจำนวนมาก ผู้ป่วยอาจจะคำนวณการสูญเสียน้ำได้จากอาการอ่อนเพลีย หน้ามืดจะเป็นลม ปากแห้ง มือเท้าเย็น หรือหมดสติ
- อาการปวดท้องรุนแรง อาการปวดท้องจากลำไส้อักเสบคือการปวดท้องแบบบิดๆ หรือไส้บิด การปวดมีลักษณะ เกิดเป็นพักๆ ครั้งละไม่นานกว่าสองสามนาที มักจะตามด้วยการถ่ายอุจจาระ การปวดท้องตลอดเวลาโดยไม่มีหยุด บางครั้งปวดมากเวลาขยับตัว ไม่ใช่การปวดจากลำไส้อักเสบธรรมดา
- อาการไข้สูงหรือมีอาการหนาวสั่น แสดงถึงการติดเชื้อที่อาจจะรุนแรงได้ อุจจาระที่มีมูกเลือด หรือเป็นเลือด หรือมีอาการปวดหน่วงๆ ที่ทวาร แสดงถึงการมีลำไส้ใหญ่อักเสบ
Article: นพ.จรินทร์ โรจน์บวรวิทยา อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบทางเดินอาหารและตับ
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : Healthy Tip:สาเหตุของลำไส้อักเสบ
เรื่องนี้ไม่อนุญาติ ให้แสดงความคิดเห็น